ข่าวมวย – เมื่อต้องเผชิญกับการกดขี่และไม่เป็นธรรม ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้
นี่คือเรื่องราวของชนชั้นรากหญ้าของจีนที่ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณ ต่อต้านการรุกรานของต่างชาติอย่างกล้าหาญในสมัยราชวงศ์ชิง
รุกรานด้วยฝิ่น ในยุคการล่าอาณานิคม เอเชียถือเป็นจุดหมายปลายทางอันหอมหวานของยุโรป เนื่องจากภูมิภาคแห่งนี้อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นตลาดขนาดใหญ่ในการค้าขาย หนึ่งในนั้นคืออาณาจักรจีน ที่ชาติตะวันตกพยายามเข้ามาแสวงหาผลกำไร ทว่าอุปสรรคที่ขัดขวางของพวกเขาอยู่ก็คือ “ระบบผูกขาด“ โดยกงหาง หรือพ่อค้าชาวจีน แถมการค้าขายยังจำกัดอยู่ที่เมืองกวางโจวเท่านั้น
ระบบกงหางทำให้ชาวตะวันตกไม่สามารถเข้าไปทำการค้าในจีนได้อย่างเสรี ตรงข้ามกับจีนที่สามารถส่งออกสินค้าของตัวเองได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ โดยเฉพาะใบชาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุโรป ด้วยเหตนี้จึงทำให้ชาติตะวันตกโดยเฉพาะ อังกฤษ หนึ่งในประเทศที่เสียเปรียบเรื่องดุลการค้า อันเนื่องมาจากการนำเข้าใบชาเป็นจำนวนมากพยายามจะแก้ไขในเรื่องนี้ ทั้งเจรจาหรือต่อรองเพื่อจะให้เกิดการค้าเสรี แต่ก็ไม่เป็นผล จนสุดท้ายในปี 1820 อังกฤษก็งัดหมัดเด็ดด้วยการใช้อาวุธใหม่ นั่นก็คือ ฝิ่น ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดี เมื่อพืชที่ปลูกในอินเดียซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษในตอนนั้นกลายเป็นสินค้านำเข้าที่ทำรายได้อย่างมหาศาลให้แก่พวกเขา นอกจากนี้มันยังทำให้คนจีนพากันติดฝิ่นกันอย่างงอมแงม โดยภายใน 10 ปีมีชาวจีนที่ติดฝิ่นมากถึง 10 ล้านคน และทำให้สังคมของพวกเขาอยู่ในภาวะวิกฤต เนื่องจากฝิ่นทำให้คนเกียจคร้าน สูบแล้วจะไม่อยากทำงาน
รัฐบาลของราชวงศ์ชิง ผู้ปกครองในตอนนั้น จึงได้พยายามปราบปราม ทั้งการห้ามนำเข้าฝิ่น ส่วนที่มีอยู่ก็ยึดและนำไปทำลาย พร้อมทั้งออกบทลงโทษที่รุนแรงด้วยการประหารชีวิตทั้งผู้เสพและผู้จำหน่าย แต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อฝิ่นยังคงหลั่งไหลเข้าสู่จีนอย่างต่อเนื่อง
จนในปี 1839 มันก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง เมื่อเจ้าหน้าที่จีนเข้ายึดฝิ่นจากพ่อค้าอังกฤษที่ท่าเรือเมืองกวางโจว และอังกฤษพยายามขอคืนแต่จีนไม่ให้ อังกฤษจึงใช้ข้อพิพาทนี้เป็นข้ออ้างในการทำสงครามกับจีนในปี 1839 อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “สงครามฝิ่น” ด้วยอาวุธที่ทันสมัยกว่าทำให้อังกฤษได้รับชัยชนะอย่างไม่ยากเย็น อังกฤษได้เข้ายึดเมืองนานกิงได้สำเร็จในปี 1842 ทำให้จีนต้องลงนามใน “สนธิสัญญานานกิง” ที่นอกจากต้องจ่ายค่าเสียหายให้อังกฤษแล้ว พวกเขายังต้องเปิดเมืองท่าชายฝั่งให้ชาวอังกฤษเข้าไปค้าขายได้อย่างเสรี ทว่าที่เสียหายที่สุดคือการสูญเสียฮ่องกงไปจากการครอบครอง รวมถึงการอนุญาตให้มี “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” โดยหากคนอังกฤษทำผิดกฎหมายก็จะไม่ต้องไปขึ้นศาลจีนที่ทำให้มันกลายเป็นเชื้อไฟของความวุ่นวาย
สนธิสัญญานานกิง ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวอังกฤษสามารถเข้ามาทำการค้าในจีนได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ยังทำให้ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ของพวกเขาสามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ผ่านการสร้างโบสถ์และโรงเรียนไปทั่วทั้งประเทศจีน หลังจากนั้นมิชชันนารีจากตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน ก็ตามรอยอังกฤษเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในจีน โดยเฉพาะในมณฑลซานตง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่ถึงขั้นมีชุมชนของมิชชันนารี
อย่างไรก็ดีการเข้ามาของต่างชาติก็สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ชาวจีนในพื้นที่จากการถูกกดขี่ข่มเหง อันเนื่องมาจากสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งการยึดที่นาของชาวบ้านมาสร้างโบสถ์ ตัดถนน รวมถึงสร้างทางรถไฟ ในขณะเดียวกันการที่มิชชันนารีเหล่านี้ได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตทำให้พวกเขาไม่ถูกเอาเรื่องเมื่อกระทำความผิด และยิ่งเพิ่มความเกลียดชังของชาวจีนที่มีต่อชาวต่างชาติให้มากขึ้นไปอีก
และมันก็มาถึงจุดแตกหักในช่วงทศวรรษที่ 1890s เมื่อเกิดภัยแล้งอย่างหนักทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ก่อนจะซ้ำเติมด้วยอุทกภัยที่ทำให้เศรษฐกิจของพวกเขาพังพินาศ ความสิ้นหวังและความคับแค้นเหล่านี้ทำให้ชนชั้นรากหญ้าที่ประกอบไปด้วยชาวนาและเกษตรกรทั้งหญิงและชายทนไม่ไหว และได้รวมตัวก่อตั้งกองกำลังขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญคือขับไล่ต่างชาติที่มองว่าเป็นภัยร้ายทำลายบ้านเกิดของพวกเขาออกไป และด้วยความที่หลายคนในกลุ่มนี้ต่างฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ รวมถึงกำลังภายในที่เชื่อว่าช่วยทำให้อยู่ยงคงกระพันและสามารถหลบกระสุนได้ ทำให้พวกเขาถูกเรียกจากสื่อตะวันตกว่า “กลุ่มนักมวย (Boxers) “
“ผู้หญิงที่เข้าร่วมกลุ่มนักมวยจะถูกเรียกว่า ‘โคมแดงส่องแสง’ เนื่องจากพวกเธอแต่งตัวในชุดสีแดงทั้งตัวถือโคมแดงไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นพัดแดง พวกเธอทั้งหมดไม่มีใครที่แต่งงานและมีอายุราว 18 หรือ 19 ปี” เผิง จินหยู และ หลี่ หมิงเต๋อ อดีตสมาชิกกลุ่มนักมวยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 1966
“ทุกหมู่บ้านจะมีผู้หญิงเข้าร่วมกลุ่มโคมแดงส่องแสง แต่พวกเขาไม่อยากให้ใครเห็นพิธีกรรมของพวกเขาจึงมักจะฝึกฝนในเวลากลางคืน ในค่ำคืนที่ฟ้ามืดสนิท” ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นกองกำลังสำคัญของราชวงศ์ชิง
อันที่จริงการกำเนิดขึ้นของกลุ่มนักมวยเดิมทีมีเป้าหมายที่จะโค่นล้มราชวงศ์ชิง เนื่องจากพวกเขามองว่าชิงไม่ใช่ชาวฮั่นแต่เป็นชาวแมนจูซึ่งก็คือชาวต่างชาติ จึงขับเคลื่อนด้วยแนวคิด “ต่อต้านแมนจู ฟื้นฟูราชวงศ์หมิง” ในช่วงแรก
อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ตระหนักว่าภัยคุกคามที่แท้จริงคือชาวตะวันตกที่เข้ามามีอำนาจในดินแดนของตน จึงทำให้อุดมการณ์ของพวกเขาเปลี่ยนมาเป็น “สนับสนุนชิง กวาดล้างต่างชาติ” ปี 1899 กลุ่มนักมวย ก็เริ่มสร้างชื่อจากการสังหาร 2 นักบวชชาวเยอรมัน รวมถึงก่อจราจลเข้าทำลายโบสถ์ ที่ทำการ ห้างร้าน ของชาวตะวันตก รวมไปถึงเผาที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ
ติดตามข่าวใหม่ได้ที่นี่! ข่าวมวย
โพสต์โดย : AFWF เมื่อ 31 ส.ค. 2565 20:39:00 น. อ่าน 154 ตอบ 0